บทที่1ความหมาย ความสำคัญของภาษาและวัฒนธรรม
http://many1112.blogspot.com/2015/09/2525-616-2524-85-1-2-3-4-2526-2-1-2-3.html?m=1
บทที่2การนำเสนอหน้าชั้นเรียน
http://youtu.be/Ba1idbrh658การแนะนำตนเอง
http://youtu.be/wa3bb89NQiYการสนทนา
http://youtu.be/69SrmnGPaE8การให้คำปรึกษา
บทที่3การอ่านภาษาอังกฤษเกี่ยวกับวิชาชีพครู
http://many1112.blogspot.com/2016/01/3.html?m=1
วัฒนธรรม
http://many1112.blogspot.com/2015/11/blog-post.html?m=1
บทที่4วัฒนธรรมและการสื่อสารผ่านวัฒนธรรม
http://many1112.blogspot.com/2016/01/4.html?m=1
บทที่5 ภาษาประจำอาเซี่ยน
http://many1112.blogspot.com/2016/01/5.html?m=1
ภาษาและวัฒนธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559
บทที่3 การอ่านภาษาอังกฤษเกี่ยวกับวิชาชีพครู
บทที่ 3
E
At the age of three, the children who had been involved in the 'Missouri' programme were evaluated alongside a cross-section of children selected from the same range of socio-economic backgrounds and family situations, and also a random sample of children that age. The results were phenomenal. By the age of three, the children in the programme were significantly more advanced in language development than their peers, had made greater strides in problem solving and other intellectual skills, and were further along in social development. In fact, the average child on the programme was performing at the level of the top 15 to 20 per cent of their peers in such things as auditory comprehension, verbal ability and language ability.
Most important of all, the traditional measures of 'risk', such as parents' age and education, or whether they were a single parent, bore little or no relationship to the measures of achievement and language development. Children in the programme performed equally well regardless of socio-economic disadvantages. Child abuse was virtually eliminated. The one factor that was found to affect the child's development was family stress leading to a poor quality of parent-child interaction. That interaction was not necessarily bad in poorer families.
บทที่4 วัฒนธรรมและการสื่อสารผ่านวัฒนธรรม
บทที่ 4
วัฒนธรรมและการสื่อสารต่างวัฒนธรม
Culture
Culture can be defined as all the ways of life including arts, beliefs and institutions of a population that are passed down from generation to generation. Culture has been called "the way of life for an entire society." As such, it includes codes of manners, dress, language, religion, rituals, games, norms of behavior such as law and morality, and systems of belief as well as the art.
แปลว่า วัฒนธรรมสามารถกำหนดวิธีการทั้งหมดของชีวิต ได้ รวมทั้ง ศิลปะและความเชื่อและสถาบันการศึกษาที่จะส่งผ่านกันรุ่นสู่รุ่น วัฒนธรรมได้ยอมรับการเรียกว่า วิถีชีวิตสำหรับสังคม นั้นจะร่วมทั้ง มารยาท การแต่งกายภาษาและศาสนา พิธีกรรม
A system of accepted beliefs which control behavior, especially such a system based on morals.
แปลว่า ความเชื่อที่ได้รับการยอมรับที่อยู่บนพื้นฐานของ ศิลธรรม
We should try hard to avoid cultural conflicts as they are a result of a misunderstanding.
แปลว่า หลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ที่มีผลมาจากการเข้าใจผิด
The fact or quality of cultures of being diverse or different.
Cultural diversity should be considered as a source of enrichment rather a source of conflicts.
แปลว่า ความเป็นจริงแล้ววัฒนธรรมมีความหลากหลายและแตกต่างกันออกไป พิจารณาจากแหล่งที่มา
Cultural misconceptions:
Mistaken thoughts, idea, or notion; misunderstandings about a culture. These are false ideas about a culture resulting from misunderstanding rather than from reality
แปลว่า ความคิดผิด ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม เกิดจากความเข้าใจผิดมากกว่าจากความเป็นจริง
Cultural shock
A condition of confusion and anxiety affecting a person suddenly exposed to an alien culture or milieu. "The first time she went to Japan, Isabel got a huge culture shock."]
แปลว่า ความสับสนความวิตกกังวล ของคนที่อยู่ๆ ก็สัมผัสวัฒนธรรมหรือวิ่งแวดล้อมของ คนอื่น ได้
Global culture refer to the culture developed at the global level through the new information technologies.
แปลว่า วัฒนธรรมของคนทั่วโลก ทั่วทุกประเทศ โดยศึกษาจาดเทคโนโลยีใหม่ๆ
Local culture
Local culture refer to the culture developed at the local level.
แปลว่า วัฒนธรรมทั่วไปในระดับท้องถิ่น
The entire world and its inhabitants.The world thought of as being closely connected by modern communication and trade and thus eliminating borders.
แปลว่า หมู่บ้านๆหนึ่งที่สื่อสารกัน ค้าขายกันได้อย่างไร้พรมแดน โดยการสื่อสารที่ทันสมัย
เรียงความ ของฉันเกี่ยว กับ Culture shock
........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
วัฒนธรรม
วัฒนธรรม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- วัฒนธรรมทางวัตถุ คือ เครื่องมือ เครื่องใช้ ที่มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อความสุขทางกาย อันได้แก่ ยานพาหนะ ที่อยู่อาศัย ตลอดจนเครื่องป้องกันตัวให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง
- วัฒนธรรมทางจิตใจ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ เพื่อให้เกิดปัญญาและมีจิตใจที่งดงาม อันได้แก่ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม คติธรรม ตลอดจนศิลปะวรรณคดี และระเบียบแบบแผนของขนบธรรมเนียมประเพณี[1]
นักมานุษยวิทยาส่วนใหญ่มักใช้คำ "วัฒนธรรม" ไปในเชิงของวิสัยสามารถของคนทั่วไปในการบ่งชี้ จัดหมวดหมู่และสื่อถึงประสบการณ์ของตนในลักษณะเชิงสัญลักษณ์ คนเราใช้วิสัยสามารถดังกล่าวสำหรับบ่งชี้เรื่องราวและสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดในหมู่มนุษย์ด้วยกันมานานมากแล้ว อย่างไรก็ตาม นักวานรวิทยาหรือไพรเมตวิทยาก็ได้บ่งชี้ลักษณะวัฒนธรรมดังกล่าวในวานรหรือไพรเมตซึ่งเป็นกลุ่มสัตว์ที่มีสายพันธุ์ใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุดมานานแล้วเช่นกัน[2] และโดยนักโบราณคดีจะมุ่งเฉพาะไปที่วัฒนธรรมที่เป็นเรื่องราวเท่านั้น (ซากเรื่องราวที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์) ขณะเดียวกัน นักมานุษยวิทยาสังคมก็มองไปที่ปฏิสัมพันธ์ของสังคม สถานภาพและสถาบัน ส่วนนักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมก็เน้นที่บรรทัดฐานและคุณค่า
การแบ่งแยกแนวกันนี้ แสดงให้เห็นถึงเงื่อนไขที่แตกต่างกันที่ขึ้นอยู่กับงานที่ต่างกันของนักมานุษยวิทยา และความจำเป็นที่จะต้องมุ่งเน้นจุดการวิจัยที่ต้องชัดเจน จึงไม่จำเป็นว่าจะเป็นการสะท้อนถึงทฤษฎีของวัฒนธรรมซึ่งย่อมแตกต่างไปตามเชิงของเรื่องราว เชิงสังคม และเชิงบรรทัดฐาน (norm) รวมทั้ง ไม่จำเป็นต้องสะท้อนถึงการแข่งขันกันเองในระหว่างทฤษฎีต่าง ๆ ของวัฒนธรรม
ฒนธรรมในเชิงของอารยธรรมแก้ไข
ในปัจจุบันคนจำนวนมากมีความคิดทางวัฒนธรรมที่พัฒนามาจากวัฒนธรรมของยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ประมาณระหว่าง พ.ศ. 2244 – พ.ศ. 2373) ซึ่งประมาณได้ว่าตรงกับแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยวัฒนธรรมที่พัฒนาในช่วงระหว่างนี้เน้นถึงความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมในยุโรปเองและในระหว่างประเทศมหาอำนาจกับประเทศอาณานิคมทั่วโลกของตน ใช้ตัวบ่งชี้วัฒนธรรมด้วย "อารยธรรม" แยกความเปรียบต่างของวัฒนธรรมด้วย "ธรรมชาติ" และใช้แนวคิดนี้มาเป็นตัวชี้วัดว่าประเทศหรือชาติใดมีอารยธรรมมากกว่าชาติใด บุคคลใดมีวัฒนธรรมมากน้อยกว่ากัน ดังนั้น จึงมีนักทฤษฎีวัฒนธรรมบางคนพยามยามที่แยกวัฒนธรรมมวลชน หรือวัฒนธรรมนิยมออกจากการนิยามของวัฒนธรรม นักทฤษฎี เช่น แมททิว อาร์โนลด์ (พ.ศ. 2365 - พ.ศ. 2341) มองว่าวัฒนธรรมเป็นเพียง "ความคิดและการพูดที่ดีที่สุดที่ได้เกิดขึ้นมาบนโลก"[12] อาร์โนลด์ได้แยกแยะให้เห็นความแตกต่างของวัฒนธรรมมวลชนกับความวุ่นวายในสังคมและอนาธิปไตย ในแนวนี้วัฒนธรรมจะเชื่อมโยงเป็นอย่างมากกับการงอกงามของวัฒนธรรม นั่นคือ การปรุงแต่งที่ก้าวไปข้างหน้าของพฤติกรรมมนุษย์ อาร์โนลด์เน้นการใช้คำนี้อย่างคงเส้นคงวา ว่า "...วัฒนธรรม คือ การไล่ตามหาความสมบูรณ์สุดยอดด้วยการเรียนรู้ในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรา นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ได้รับการคิดและพูดขึ้นในโลก"[12]
วัฒนธรรมในมุมมองของโลกแก้ไข
ในยุคโรแมนติก ผู้รอบรู้ในเยอรมัน โดยเฉพาะผู้ห่วงใยใน "ขบวนการรักชาติ" เช่น ขบวนการรักชาติที่พยายามก่อตั้งประเทศเยอรมันจากรัฐต่าง ๆ ที่ต่างก็มีเจ้าครองนครอยู่แล้ว และกลุ่มผู้รักชาติที่เป็นชนกลุ่มน้อยที่พยายามต่อต้านจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี พวกเหล่านี้มีส่วนช่วยพัฒนาหัวเรื่องวัฒนธรรมมาสู่ "มุมมองของโลก" มากขึ้น ในกรอบแนวคิดลักษณะนี้ มุมมองโลกที่พุ่งไปสู่การจำแนกลักษณะของกลุ่มชาติพันธุ์ มีความชัดเจนขึ้นและไม่ให้ความสำคัญของขนาดกลุ่มชน แม้จะเป็นแนวคิดที่กว้างขึ้นแต่ก็ยังคงเห็นว่ายังการแบ่งความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม "อารยธรรม" และ วัฒนธรรม "ดั้งเดิม" หรือ วัฒนธรรม "ชนเผ่า" อยู่
ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ประมาณ พ.ศ. 2420) นักมานุษยวิทยา ได้ยอมรับและปรับวัฒนธรรม ให้มีนิยามที่กว้างขึ้นให้ประยุกต์ได้กับสังคมต่าง ๆ ที่หลากหลายได้มากขึ้น เอาใจใส่ให้ความสนใจกับทฤษฎีของวิวัฒนาการมากขึ้น มีการอนุมาณว่ามนุษย์ทั้งปวงวิวัฒนาการมาเท่าเทียมกัน และมนุษย์ที่มีวัฒนธรรมจะต้องเป็นผลมาจากวิวัฒนาการอย่างใดอย่างหนึ่ง มีการแสดงถึงความลังเลที่จะใช้วิวัฒนาการทางชีววิทยามาใช้อธิบายความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมที่มีลักษณะเฉพาะที่ต่างกัน ซึ่งเป็นแนวที่เป็นการแสดงรูปแบบหรือส่วนหนึ่งของสังคมเปรียบเทียบกับอีกสังคมโดยรวม และแสดงให้เห็นกระบวนการครอบงำ และกระบวนการต่อต้าน
ในช่วง พ.ศ. 2494 – พ.ศ. 2503 ได้เริ่มมีการยกเอา "กลุ่มวัฒนธรรมย่อย" ที่มีลักษณะเด่นเฉพาะที่อยู่ภายใต้วัฒนธรรมที่ใหญ่กว่ามาเป็นหัวข้อการศึกษาโดยนักสังคมวิทยา ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 (พ.ศ. 2444 – พ.ศ. 2543) ได้เกิดแนวคิดที่เรียกว่า "วัฒนธรรมบรรษัท" https://th.m.wikipedia.org/wiki/วัฒนธรรม(corporate culture) ที่เด่นชัดเกี่ยวกับบริบทของการจ้างงานในองค์การหรือในที่ทำงานขึ้น
วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558
บทที่2การนำเสนอหน้าชั้นเรียน
http://youtu.be/Ba1idbrh658 การแนะนำตนเอง
http://youtu.be/wa3bb89NQiYการสนทนา
http://youtu.be/69SrmnGPaE8การให้คำปรึกษา
http://youtu.be/wa3bb89NQiYการสนทนา
http://youtu.be/69SrmnGPaE8การให้คำปรึกษา
วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558
บทที่1 ภาษาและวัฒนธรรม ความหมายของภาษา ความหมายของภาษา “ ภาษา คือ เสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ด้วย คำพูด หรือถ้อยคำที่ใช้พูดกัน ” (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 : 616) “ ภาษา หมายถึง เสียงพูดที่มีระเบียบและมีความหมาย ซึ่งมนุษย์ใช้ในการสื่อความคิด ความรู้สึก และในการที่จะให้ผู้ที่เราพูดด้วยทำสิ่งที่เราต้องการ และแทนสิ่งที่เราพูดถึง ” (วิจินตน์ ภาณุพงศ์ 2524 : 85) วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ ได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญๆ อันเป็นคุณสมบัติของภาษา สรุปได้ดังนี้ 1. ภาษาประกอบขึ้นด้วยเสียงและความหมาย โดยนัยของคุณสมบัตินี้ ภาษาหมายถึงภาษาพูดเท่านั้น ไม่รวมถึงภาษาเขียน ภาษาเขียนเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ใช้บันทึกภาษาพูด 2. ภาษาเป็นเรื่องของสัญลักษณ์ ซึ่งต้องมีการเรียนรู้จึงจะเข้าใจได้ว่าสัญลักษณ์นั้นมีความหมายว่าอย่างไร 3. ภาษามีระบบ เช่น การเรียงลำดับเสียง หรือการเรียงลำดับคำในประโยค การจะใช้ภาษาให้ถูกต้องจึงต้องเรียนรู้ระเบียบและกฎของภาษานั้นๆ 4. ภาษามีพลังงอกงามอันไม่สิ้นสุด จากจำนวนเสียงที่มีอยู่ ผู้พูดสามารถผลิตคำพูดได้ไม่รู้จบ เราจึงไม่อาจนับได้ว่าในภาษาหนึ่งๆ มีจำนวนคำเท่าใด (วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ 2526 : 2) ความหมายของ ภาษา อาจแยกได้เป็นความหมายโดยอรรถและความหมายโดยปริยายดังนี้ ความหมายโดยอรรถ ภาษา หมายถึง 1. เครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารความรู้ ความคิด ความต้องการของมนุษย์เครื่องมือดังกล่าวอาจได้แก่ เสียงพูด เสียงสัญญาณต่างๆ รูปภาพ แผนภูมิ ตัวอักษร ท่าทาง ฯลฯ การใช้เครื่องมือดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับข้อตกลงในกลุ่มชนซึ่งผู้ใช้จะต้อง เรียนรู้ เพื่อทำความเข้าใจกันได้ 2. การติดต่อ การสื่อความรู้สึก ในหมู่สัตว์ด้วยกัน ได้แก่ การใช้เสียง ท่าทาง ฯลฯ 3. วิชาการแขนงหนึ่ง ว่าด้วยการศึกษาภาษาในแง่มุมต่างๆ กัน เช่น ศึกษาเพื่อให้มีทักษะ มีความสามารถในการฟัง พูด อ่าน เขียน หรือศึกษาเพื่อรู้ระเบียบโครงสร้างของภาษา ฯลฯ ความหมายโดยปริยาย เป็นความหมายเชิงเปรียบเทียบ ภาษา อาจหมายถึง ๑. ความรู้ ความเข้าใจ ความมีทักษะในการ ฟัง พูด อ่าน เขียน ๒. กลุ่มชน เผ่า หรือชนชาติ ๓. ระเบียบ แบบแผน แบบอย่าง สรุป “ ภาษา ” หมายถึง เครื่องมือในการสื่อความหมายซึ่งใช้ถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความต้องการของตนให้ผู้อื่นทราบ ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูด ถ้อยคำ กิริยาอาการ หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ อ้างอิง:อมรา ประสิทธิ์รัฐสินธุ์. (2540). ภาษาในสังคมไทย. กรุงเทพมหานคร:จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. http://khamkhunhome01.exteen.com/20071105/entry (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 : 616) ความสำคัญของภาษา ความสำคัญของภาษา ภาษามีประโยชน์มากมาย ได้แก่ ภาษาช่วยธำรงสังคม ภาษาแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล ภาษาช่วยให้มนุษย์พัฒนา ภาษาช่วยกำหนดอนาคต ภาษาช่วยจรรโลงใจ .ภาษาช่วยธำรงสังคม สังคมจะธำรงอยู่ได้มนุษย์ต้องมีไมตรีต่อกัน ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และระเบียบวินัยของสังคมและประพฤติตนให้เหมาะสมแก่ฐานะตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยภาษา คือ – ภาษาใช้แสดงไมตรีจิตต่อกัน เช่น การทักทายปราศรัยกัน – ภาษาใช้แสดงกฎเกณฑ์ของสังคมว่าคนในสังคมควรปฏิบัติตนอย่างไร เช่น ศีล ๕ เป็นแนวทางปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน – ภาษาใช้แสดงความสัมพันธ์ของบุคคล แต่ละบุคคลมีฐานะ บทบาท และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นต่างๆ กันไป การใช้ภาษาจึงแสดงฐานะและบทบาทในสังคมด้วย . การแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล ปัจเจกบุคคล หมายถึง ลักษณะเฉพาะของบุคคล บุคคลแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป ภาษาจะช่วยสะท้อนลักษณะดังกล่าวของบุคคล ทำให้ทราบถึงอุปนิสัย อารมณ์ รสนิยม ตลอดจนความคิดต่างๆ แต่ละบุคคลจะมีวิธีพูด หรือการใช้ภาษาแตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของตน เช่น ถ้าเราอ่านเรื่องของนักเขียนคนนั้นหลายๆ เรื่องก็จะทราบว่านักเขียนคนนั้นชอบหรือไม่ชอบอะไร .ภาษาช่วยให้มนุษย์พัฒนา มนุษย์อาศัยภาษาถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ต่อๆ กันมา ทำให้ความรู้แพร่ขยายมากยิ่งขึ้น มนุษย์ไม่ต้องเสียเวลาเรื่องทุกเรื่องใหม่ แต่สามารถพัฒนาค้นคว้าต่อให้เจริญก้าวหน้าต่อไป บางครั้งเมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันก็จะใช้ภาษาอภิปรายโต้แย้งกัน ทำให้ความรู้ความคิดเจริญงอกงามยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภาษาเขียนจะช่วยบันทึกเรื่องราวความรู้ต่างๆ ไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป .ภาษาช่วยกำหนดอนาคต มนุษย์อาศัยภาษาช่วยกำหนดอนาคตในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำแผน ทำโครงการ คำสั่ง สัญญา คำพิพากษา กำหนดการ คำพยากรณ์ ซึ่งจะเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป ในบางกรณีสิ่งที่กำหนดล่วงหน้าไว้นี้อาจไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ เพราะอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน . ภาษาช่วยจรรโลงใจ การจรรโลงใจ คือ ค้ำจุนจิตใจให้มั่นคง ไม่ตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำ โดยปกติมนุษย์ต้องการได้รับความจรรโลงใจอยู่เสมอ มนุษย์จึงอาศัยภาษาช่วยให้ความชื่นบาน ให้ความเพลิดเพลิน เช่น บทเพลง นิทาน คำอวยพร ฯลฯ ทำให้สังคมดำรงอยู่ได้ด้วยดี ภาษามีความสำคัญสำหรับมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีอิทธิพลต่อมนุษย์ด้วย ทั้งนี้ เพราะมนุษย์ไม่ได้คิดว่าภาษาเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเท่านั้น เช่น การตั้งชื่อก็จะหลีกเลี่ยงคำที่มีเสียงคล้ายคลึงกับสิ่งไม่ดี สิ่งที่น่ารังเกียจ หรือมีความหมายไม่เป็นมงคล หรือการถูกนินทาก็จะเสียใจ ได้รับคำชมก็ดีใจ ดังกล่าวนี้ในบางครั้งมนุษย์ก็ยึดมั่นกับตัวอักษรโดยไม่พิจารณาเหตุผล การที่ภาษาช่วยจรรโลงจิตใจของมนุษย์จะช่วยให้สังคมอยู่ได้ด้วยดี ทำให้โลกสดชื่นเบิกบาน ช่วยคลายเครียด สรุป ภาษาสำคัญในการดำรงชีวิตมาก หากไม่มีภาษาเราจะไม่สามารถสื่อสารกันได้เข้าใจ และจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในสังคม ทำให้ขาดความสามัคคี สังคมแตกแยก อ้างอิง http://khamkhunhome01.exteen.com/20071105/entry http://human.tru.ac.th/elearning/thai_for_com/lesson1/content21.html http://www.ipesp.ac.th/learning/thai/chapter1-1.html ระดับของภาษา ระดับของภาษา การใช้ภาษาขึ้นอยู่กับกาลเทศะ สถานการณ์ สภาวะแวดล้อม และสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ซึ่งอาจแบ่งภาษาเป็นระดับต่างๆได้หลายลักษณะ เช่น (ภาษาระดับที่เป็นแบบแผนและไม่เป็นแบบแผน),(ภาษาระดับพิธีการ ระดับกึ่งพิธีการ ระดับไม่เป็นทางการ) ในชั้นเรียนนี้ เราจะชี้ลักษณะสำคัญของภาษาเป็น ๕ ระดับ ดังนี้ ๑. ระดับพิธีการ ใช้สื่อสารกันในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ได้แก่ การประชุมรัฐสภา การกล่าวอวยพร การกล่าวต้อนรับ การกล่าวรายงานในพิธีมอบปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร การกล่าวสดุดีหรือการกล่าวเพื่อจรรโลงใจให้ประจักษ์ในคุณความดี การกล่าวปิดพิธี เป็นต้น ผู้ส่งสารระดับนี้มักเป็นคนสำคัญสำคัญหรือมีตำแหน่งสูง ผู้รับสารมักอยู่ในวงการเดียวกันหรือเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ สัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีต่อกันอย่างเป็นทางการ ส่วนใหญ่ผู้ส่งสารเป็นผู้กล่าวฝ่ายเดียว ไม่มีการโต้ตอบ ผู้กล่าวมักต้องเตรียมบทหรือวาทนิพนธ์มาล่วงหน้าและมักนำเสนอด้วยการอ่านต่อหน้าที่ประชุม ๒. ภาษาระดับทางการ ใช้บรรยายหรืออภิปรายอย่างเป็นทางการในที่ประชุมหรือใช้ในการเขียนข้อความที่ปรากฏต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ หนังสือที่ใช้ติดต่อกับทางราชการหรือในวงธุรกิจ ผู้ส่งสารและผู้รับสารมักเป็นบุคคลในวงอาชีพเดียวกัน ภาษาระดับนี้เป็นการสื่อสารให้ได้ผลตามจุดประสงค์โดยยึดหลักประหยัดคำและเวลาให้มากที่สุด ๓. ภาษาระดับกึ่งทางการ คล้ายกับภาษาระดับทางการ แต่ลดความเป็นงานเป็นการลงบ้าง เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารซึ่งเป็นบุคคลในกลุ่มเดียวกัน มีการโต้แย้งหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นระยะๆ มักใช้ในการประชุมกลุ่มหรือการอภิปรายกลุ่ม การบรรยายในชั้นเรียน ข่าว บทความในหนังสือพิมพ์ เนื้อหามักเป็นความรู้ทั่วไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆ รวมถึงการปรึกษาหารือร่วมกัน ๔. ภาษาระดับไม่เป็นทางการ ภาษาระดับนี้มักใช้ในการสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคลไม่เกิน ๔-๕ คนในสถานที่และกาละที่ไม่ใช่ส่วนตัว อาจจะเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกัน การเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน การรายงานข่าวและการเสนอบทความในหนังสือพิมพ์ โดยทั่วไปจะใช้ถ้อยคำสำนวนที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยกันมากกว่าภาษาระดับทางการหรือภาษาที่ใช้กันเฉพาะกลุ่ม เนื้อหาเป็นเรื่องทั่วๆไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆรวมถึงการปรึกษาหารือหรือร่วมกัน ๕. ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับนี้มักใช้กันในครอบครัวหรือระหว่างเพื่อนสนิท สถานที่ใช้มักเป็นพื้นที่ส่วนตัว เนื้อหาของสารไม่มีขอบเขตจำกัด มักใช้ในการพูดจากัน ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรยกเว้นนวนิยายหรือเรื่องสั้นบางตอนที่ต้องการความเป็นจริง (การแบ่งภาษาดังที่กล่าวมาแล้วมิได้หมายความว่าแบ่งกันอย่างเด็ดขาด ภาษาระดับหนึ่งอาจเหลื่อมล้ำกับอีกระดับหนึ่งก็ได้) ข้อควรสังเกตเกี่ยวกับความลดหลั่นตามระดับภาษา ๑. ภาษาที่ใช้ในระดับพิธีการ ระดับทางการและระดับกึ่งทางการ คำสรรพนามที่ใช้แทนตนเอง(สรรพนามบุรุษที่ ๑) มักใช้ กระผม ผม ดิฉัน ข้าพเจ้า คำสรรพนามที่ใช้แทนผู้รับสาร(สรรพนามบุรุษที่ ๒) มักจะใช้ ท่าน ท่านทั้งหลาย ส่วนภาษาระดับที่ไม่เป็นทางการและระดับกันเอง ผู้ส่งสารจะใช้สรรพนาม ผม ฉัน ดิฉัน กัน เรา หนู ฯลฯ หรืออาจใช้คำนามแทน เช่น นิด ครู หมอ แม่ พ่อ พี่ ป้า ฯลฯ ๒. คำนาม คำนามหลายคำเราใช้เฉพาะในภาษาระดับกึ่งทางการ ระดับไม่เป็นทางการและระดับกันเองเท่านั้น หากนำไปใช้เป็นภาษาระดับทางการจะต่างกันออกไป เช่น โรงจำนำ>สถานธนานุเคราะห์ โรงพัก>สถานีตำรวจ หมู>สุกร ควาย>กระบือ รถเมล์>รถประจำทาง หมา>สุนัข เป็นต้น ๓. คำกริยา คำกริยาที่แสดงระดับภาษาต่างๆอย่างเห็นได้ชัด เช่น ตาย อาจใช้ ถึงแก่กรรม เสีย ล้ม กิน อาจใช้ รับประทาน บริโภค ๔. คำวิเศษณ์ บางคำใช้คำขยายกริยา มักใช้ในระดับภาษาไม่เป็นทางการและระดับกันเองหรืออาจใช้ในภาระดับกึ่งราชการก็ได้ คำวิเศษณ์เหล่านี้มักเป็นมักเป็นคำบอกลักษณะหรือแสดงความรู้สึก เช่น เปรี้ยวจี๊ด เย็นเจี๊ยบ วิ่งเต็มเหยียด ฟาดเต็มเหนี่ยว เยอะแยะ ภาษาระดับทางการขึ้นมีใช้บ้าง เช่น เป็นอันมาก มาก สรุป ภาษาแบ่งออกเป็น ๕ ระดับ ได้แก่ ระดับพิธีการ ระดับทางการ ระดับกึ่งทางการ ระดับไม่เป็นทางการ และระดับกันเอง ซึ่งแต่ละระดับจะมีหลักการใช้ที่แตกต่างกัน และใช้ให้เหมาะสมในแต่ละโอกาศต่างๆ อ้างอิงแหล่งข้อมูล ที่มา :http://www.matichon.co.th ที่มา:http://www.maceducation.com ที่มา: http://rppiyachan.wordpress.com/ ทักษะและเทคนิคการใช้ภาษา และลีลาในการสอน การใช้ภาษา ความหมายและขอบเขตของการใช้ภาษา การใช้ภาษา หมายถึง การติดต่อสื่อความหมายในสังคมให้เป็นที่เข้าใจกันด้วยการฟังผู้อื่นพูดบ้าง ให้ผู้อื่นฟังบ้าง อ่านสิ่งที่ผู้อื่นเขียน และเขียนบางสิ่งบางอย่างให้ผู้อื่นอ่านบ้าง นอกจากจะติดต่อกับบุคคลในสมัยเดียวกันแล้ว อาจติดต่อกับคนในอดีตหรืออนาคตได้ การติดต่อกับคนในอดีตคือ อ่านข้อความหรือเรื่องราวที่มีผู้เขียนไว้ในหนังสือ เอกสาร หลักฐานในสมัยต่าง ๆ ก็ทำให้มีโอกาสได้รับทราบ เข้าใจในความคิดของบุคคลนั้น ๆ แม้ว่าเขาจะล่วงลับไปแล้วก็ตาม ส่วนการติดต่อกับบุคคลในอนาคตนั้น คือ ติดต่อด้วยการเขียนหนังสือไว้ให้ชนรุ่นหลังอ่าน หรือบันทึกเสียงพูดไว้ให้ชนรุ่นหลังฟัง ทักษะและเทคนิคการใช้ภาษา และลีลาในการสอน วัฒนธรรมในการใช้ภาษา ๑. การใช้ภาษาให้ถูกวัฒนธรรม เมื่อได้มีการให้ความหมายของคำวัฒนธรรมไว้ว่า "คือ ลักษณะที่แสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชนในชาติ และศีลธรรมอันดีของประชาชน" การใช้ภาษาให้ถูกหลักวัฒนธรรมน่าจะเป็นไปในความสอดคลัองกับความหมายดังกล่าว พระยาอนุมานราชธน ให้ข้อคิดไว้ว่า "การใช้ภาษาไม่ถูกตามแบบแผนของภาษาไทยหรือพูดจาสามหาวนั้น เป็นการผิดวัฒนธรรม" การใช้ภาษาให้ถูกวัฒนธรรมจึงน่าจะมีลักษณะดังนี้ ๑. ใช้ถูกตามแบบแผนของภาษาไทย ๒. ใช้คำสุภาพ หลีกเลี่ยงคำหยาบคาย หรือหยาบโลน ๓. ใช้คำพูดที่สื่อความหมายแจ่มแจ้ง ไม่กำกวม ๔. ใช้ภาษาที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจดีระหว่างกัน ก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในหมู่คณะ ๕. ใช้ภาษาที่เป็นสิริมงคล ในพิธีการต่าง ๆ ๖. ใช้ภาษาที่ไพเราะ ชวนให้เพลิดเพลินเจริญใจ ๗. ใช้ภาษาที่เป็นคติเตือนใจ ๘. ใช้ภาษาให้ถูกกาลเทศะ และเหมาะกับฐานะของบุคคล ๒. วัฒนธรรมที่แทรกหรือสัมพันธ์อยู่กับการใช้ภาษา การใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน เห็นได้ว่ามีเรื่องของวัฒนธรรมแทรกอยู่ด้วยเสมอ เช่น เมื่อมีการกล่าวถึงสิ่งต่อไปนี้ คติธรรม สำนวน ภาษิต สุภาษิต ทัั้งในร้อยแก้ว ร้อยกรอง ในภาษาพูดและภาษาเขียน ความเชื่อต่าง ๆ ของชาวบ้านที่แทรกอยู่ในนิทาน เรื่องเล่า ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติอยู่ในท้องถิ่นต่าง ๆ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่เป็นหลักฐานทางวัฒนธรรม ศิลปหัตถกรรม แต่ละยุคแต่ละสมัย เพลงพื้นเมือง นิทาน การละเล่น คำทายต่าง ๆ ที่รวมเรียกว่า คติชาวบ้าน หรือคติชนวิทยา จุดมุ่งหมายในการใช้ภาษาตามแนววัฒนธรรม ๑. เพื่อสื่อสาร ๒. เพื่อสั่งสอน ๓. เพื่อสร้างสรรค์ หลักทั่วไปในการสอน เกี่ยวกับเนื้อหา หรือเรื่องที่สอน สอนจากสิ่งที่รู้เห็นเข้าใจง่าย หรือรู้เห็นเข้าใจอยู่แล้ว ไปหาสิ่งที่เห็นเข้าใจได้ยาก หรือยังไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจ สอนเนื้อเรื่องที่ค่อยลุ่มลึก ยากลงไปตามลำดับขั้น และความต่อเนื่องกันเป็นสายลงไป อย่างที่เรียกว่า สอนเป็นอนุบุพพิกถา.. ถ้าสิ่งที่สอนเป็นสิ่งที่แสดงได้ ก็สอนด้วยของจริง ให้ผู้เรียน ได้ดู ได้เห็น ได้ฟังเอง อย่างที่เรียกว่าประสบการณ์ตรง สอนตรงเนื้อหา ตรงเรื่อง คุมอยู่ในเรื่อง มีจุด ไม่วกวน ไม่ไขว้เขว ไม่ออกนอกเรื่องโดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องในเนื้อหา สอนมีเหตุผล ตรองตามเห็นจริงได้ อย่างที่เรียกว่า สนิทานํ สอนเท่าที่จำเป็นพอดี สำหรับให้เกิดความเข้าใจ ให้เการเรียนรู้ได้ผล ไม่ใช่สอนเท่าที่ตนรู้ หรือสอนแสดงภูมิว่าผู้สอนมีความรู้มาก สอนสิ่งที่มีความหมาย ควรที่เขาจะเรียนรู้ และเข้าใจ เป็นประโยชน์แก่ตัวเขาเอง ลีลาการสอน คุณลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลีลาในการสอน 4 อย่าดังนี้ ๑.อธิบายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมือจูงมือไปดูเห็นกับตา (สันทัสสนา) ๒.ชักจูงใจให้เห็นจริงด้วย ชวนให้คล้อยตามจนต้อยอมรับ และนำไปปฏิบัติ (สมาทปนา) ๓.เร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดกำลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจว่าจะทำให้สำเร็จได้ ไม่หวั่นระย่อต่อความเหนื่อยยาก ( สมุตตเตชนา) ๔.ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ และเปี่ยมด้วยความหวัง เพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่ตนจะพึงได้รับจากกาปฏิบัติ (สัมปหังสนา) อาจผูกเป็นคำสั้นๆ ได้ว่า แจ่มแจ้ง จูงใจ หาญกล้า ร่าเริง หรือชี้ชัด เชิญชวน คึกคัก เบิกบาน สรุป ในการใช้ภาษา ลีลาในการสอน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของตัวผู้เรียน และเนื้อหาในบทเรียนแต่ละบท เทคนิคในการสอนจะเกิดขึ้นแก่ตัวผู้สอนเองตามสถานการณ์ และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม อ้างอิง https://sites.google.com/site/kaewsarphadnuk/kar-chi-phasa ที่มา:ทศวรรษธรรมทัศน์พระธรรมปิฏก หมวดพุทธศาสตร์ ผู้แต่ง พระธรรมปิฏก สำนักพิมพ์ ธรรมสภา พ.ศ. 2542 nokyung22ny.wordpress.com/หลักการสอน/ทักษะและเทคนิคการสอน
ภาษาและวัฒนธรรม
ความหมายของภาษา
ความหมายของภาษา
“ ภาษา คือ เสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ด้วย คำพูด หรือถ้อยคำที่ใช้พูดกัน ” (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 : 616)
“ ภาษา หมายถึง เสียงพูดที่มีระเบียบและมีความหมาย ซึ่งมนุษย์ใช้ในการสื่อความคิด ความรู้สึก และในการที่จะให้ผู้ที่เราพูดด้วยทำสิ่งที่เราต้องการ และแทนสิ่งที่เราพูดถึง ” (วิจินตน์ ภาณุพงศ์ 2524 : 85)
วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ ได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญๆ อันเป็นคุณสมบัติของภาษา สรุปได้ดังนี้
1. ภาษาประกอบขึ้นด้วยเสียงและความหมาย โดยนัยของคุณสมบัตินี้ ภาษาหมายถึงภาษาพูดเท่านั้น ไม่รวมถึงภาษาเขียน ภาษาเขียนเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ใช้บันทึกภาษาพูด
2. ภาษาเป็นเรื่องของสัญลักษณ์ ซึ่งต้องมีการเรียนรู้จึงจะเข้าใจได้ว่าสัญลักษณ์นั้นมีความหมายว่าอย่างไร
3. ภาษามีระบบ เช่น การเรียงลำดับเสียง หรือการเรียงลำดับคำในประโยค การจะใช้ภาษาให้ถูกต้องจึงต้องเรียนรู้ระเบียบและกฎของภาษานั้นๆ
4. ภาษามีพลังงอกงามอันไม่สิ้นสุด จากจำนวนเสียงที่มีอยู่ ผู้พูดสามารถผลิตคำพูดได้ไม่รู้จบ เราจึงไม่อาจนับได้ว่าในภาษาหนึ่งๆ มีจำนวนคำเท่าใด
(วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ 2526 : 2)
ความหมายของ ภาษา อาจแยกได้เป็นความหมายโดยอรรถและความหมายโดยปริยายดังนี้
ความหมายโดยอรรถ ภาษา หมายถึง
1. เครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารความรู้ ความคิด ความต้องการของมนุษย์เครื่องมือดังกล่าวอาจได้แก่ เสียงพูด เสียงสัญญาณต่างๆ รูปภาพ แผนภูมิ ตัวอักษร ท่าทาง ฯลฯ การใช้เครื่องมือดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับข้อตกลงในกลุ่มชนซึ่งผู้ใช้จะต้อง เรียนรู้ เพื่อทำความเข้าใจกันได้
2. การติดต่อ การสื่อความรู้สึก ในหมู่สัตว์ด้วยกัน ได้แก่ การใช้เสียง ท่าทาง ฯลฯ
3. วิชาการแขนงหนึ่ง ว่าด้วยการศึกษาภาษาในแง่มุมต่างๆ กัน เช่น ศึกษาเพื่อให้มีทักษะ มีความสามารถในการฟัง พูด อ่าน เขียน หรือศึกษาเพื่อรู้ระเบียบโครงสร้างของภาษา ฯลฯ
ความหมายโดยปริยาย เป็นความหมายเชิงเปรียบเทียบ ภาษา อาจหมายถึง
๑. ความรู้ ความเข้าใจ ความมีทักษะในการ ฟัง พูด อ่าน เขียน
๒. กลุ่มชน เผ่า หรือชนชาติ
๓. ระเบียบ แบบแผน แบบอย่าง
สรุป
“ ภาษา ” หมายถึง เครื่องมือในการสื่อความหมายซึ่งใช้ถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความต้องการของตนให้ผู้อื่นทราบ ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูด ถ้อยคำ กิริยาอาการ หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ
อ้างอิง:อมรา ประสิทธิ์รัฐสินธุ์. (2540). ภาษาในสังคมไทย.
กรุงเทพมหานคร:จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
http://khamkhunhome01.exteen.com/20071105/entry
ความสำคัญของภาษา
ความสำคัญของภาษา
ภาษามีประโยชน์มากมาย ได้แก่ ภาษาช่วยธำรงสังคม ภาษาแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล ภาษาช่วยให้มนุษย์พัฒนา ภาษาช่วยกำหนดอนาคต ภาษาช่วยจรรโลงใจ
.ภาษาช่วยธำรงสังคม สังคมจะธำรงอยู่ได้มนุษย์ต้องมีไมตรีต่อกัน ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และระเบียบวินัยของสังคมและประพฤติตนให้เหมาะสมแก่ฐานะตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยภาษา คือ
– ภาษาใช้แสดงไมตรีจิตต่อกัน เช่น การทักทายปราศรัยกัน
– ภาษาใช้แสดงกฎเกณฑ์ของสังคมว่าคนในสังคมควรปฏิบัติตนอย่างไร เช่น ศีล ๕ เป็นแนวทางปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน
– ภาษาใช้แสดงความสัมพันธ์ของบุคคล แต่ละบุคคลมีฐานะ บทบาท และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นต่างๆ กันไป การใช้ภาษาจึงแสดงฐานะและบทบาทในสังคมด้วย
. การแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล
ปัจเจกบุคคล หมายถึง ลักษณะเฉพาะของบุคคล บุคคลแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป ภาษาจะช่วยสะท้อนลักษณะดังกล่าวของบุคคล ทำให้ทราบถึงอุปนิสัย อารมณ์ รสนิยม ตลอดจนความคิดต่างๆ แต่ละบุคคลจะมีวิธีพูด หรือการใช้ภาษาแตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของตน เช่น ถ้าเราอ่านเรื่องของนักเขียนคนนั้นหลายๆ เรื่องก็จะทราบว่านักเขียนคนนั้นชอบหรือไม่ชอบอะไร
.ภาษาช่วยให้มนุษย์พัฒนา มนุษย์อาศัยภาษาถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ต่อๆ กันมา ทำให้ความรู้แพร่ขยายมากยิ่งขึ้น มนุษย์ไม่ต้องเสียเวลาเรื่องทุกเรื่องใหม่ แต่สามารถพัฒนาค้นคว้าต่อให้เจริญก้าวหน้าต่อไป บางครั้งเมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันก็จะใช้ภาษาอภิปรายโต้แย้งกัน ทำให้ความรู้ความคิดเจริญงอกงามยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภาษาเขียนจะช่วยบันทึกเรื่องราวความรู้ต่างๆ ไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป
.ภาษาช่วยกำหนดอนาคต มนุษย์อาศัยภาษาช่วยกำหนดอนาคตในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำแผน ทำโครงการ คำสั่ง สัญญา คำพิพากษา กำหนดการ คำพยากรณ์ ซึ่งจะเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป ในบางกรณีสิ่งที่กำหนดล่วงหน้าไว้นี้อาจไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ เพราะอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน
. ภาษาช่วยจรรโลงใจ
การจรรโลงใจ คือ ค้ำจุนจิตใจให้มั่นคง ไม่ตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำ โดยปกติมนุษย์ต้องการได้รับความจรรโลงใจอยู่เสมอ มนุษย์จึงอาศัยภาษาช่วยให้ความชื่นบาน ให้ความเพลิดเพลิน เช่น บทเพลง นิทาน คำอวยพร ฯลฯ ทำให้สังคมดำรงอยู่ได้ด้วยดี ภาษามีความสำคัญสำหรับมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีอิทธิพลต่อมนุษย์ด้วย ทั้งนี้ เพราะมนุษย์ไม่ได้คิดว่าภาษาเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเท่านั้น เช่น การตั้งชื่อก็จะหลีกเลี่ยงคำที่มีเสียงคล้ายคลึงกับสิ่งไม่ดี สิ่งที่น่ารังเกียจ หรือมีความหมายไม่เป็นมงคล หรือการถูกนินทาก็จะเสียใจ ได้รับคำชมก็ดีใจ ดังกล่าวนี้ในบางครั้งมนุษย์ก็ยึดมั่นกับตัวอักษรโดยไม่พิจารณาเหตุผล การที่ภาษาช่วยจรรโลงจิตใจของมนุษย์จะช่วยให้สังคมอยู่ได้ด้วยดี ทำให้โลกสดชื่นเบิกบาน ช่วยคลายเครียด
สรุป
ภาษาสำคัญในการดำรงชีวิตมาก หากไม่มีภาษาเราจะไม่สามารถสื่อสารกันได้เข้าใจ และจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในสังคม ทำให้ขาดความสามัคคี สังคมแตกแยก
อ้างอิง
http://khamkhunhome01.exteen.com/20071105/entry
http://human.tru.ac.th/elearning/thai_for_com/lesson1/content21.html
http://www.ipesp.ac.th/learning/thai/chapter1-1.html
ระดับของภาษา
ระดับของภาษา
การใช้ภาษาขึ้นอยู่กับกาลเทศะ สถานการณ์ สภาวะแวดล้อม และสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ซึ่งอาจแบ่งภาษาเป็นระดับต่างๆได้หลายลักษณะ เช่น (ภาษาระดับที่เป็นแบบแผนและไม่เป็นแบบแผน),(ภาษาระดับพิธีการ ระดับกึ่งพิธีการ ระดับไม่เป็นทางการ) ในชั้นเรียนนี้ เราจะชี้ลักษณะสำคัญของภาษาเป็น ๕ ระดับ ดังนี้
๑. ระดับพิธีการ ใช้สื่อสารกันในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ได้แก่ การประชุมรัฐสภา การกล่าวอวยพร การกล่าวต้อนรับ การกล่าวรายงานในพิธีมอบปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร การกล่าวสดุดีหรือการกล่าวเพื่อจรรโลงใจให้ประจักษ์ในคุณความดี การกล่าวปิดพิธี เป็นต้น ผู้ส่งสารระดับนี้มักเป็นคนสำคัญสำคัญหรือมีตำแหน่งสูง ผู้รับสารมักอยู่ในวงการเดียวกันหรือเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ สัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีต่อกันอย่างเป็นทางการ ส่วนใหญ่ผู้ส่งสารเป็นผู้กล่าวฝ่ายเดียว ไม่มีการโต้ตอบ ผู้กล่าวมักต้องเตรียมบทหรือวาทนิพนธ์มาล่วงหน้าและมักนำเสนอด้วยการอ่านต่อหน้าที่ประชุม
๒. ภาษาระดับทางการ ใช้บรรยายหรืออภิปรายอย่างเป็นทางการในที่ประชุมหรือใช้ในการเขียนข้อความที่ปรากฏต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ หนังสือที่ใช้ติดต่อกับทางราชการหรือในวงธุรกิจ ผู้ส่งสารและผู้รับสารมักเป็นบุคคลในวงอาชีพเดียวกัน ภาษาระดับนี้เป็นการสื่อสารให้ได้ผลตามจุดประสงค์โดยยึดหลักประหยัดคำและเวลาให้มากที่สุด
๓. ภาษาระดับกึ่งทางการ คล้ายกับภาษาระดับทางการ แต่ลดความเป็นงานเป็นการลงบ้าง เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารซึ่งเป็นบุคคลในกลุ่มเดียวกัน มีการโต้แย้งหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นระยะๆ มักใช้ในการประชุมกลุ่มหรือการอภิปรายกลุ่ม การบรรยายในชั้นเรียน ข่าว บทความในหนังสือพิมพ์ เนื้อหามักเป็นความรู้ทั่วไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆ รวมถึงการปรึกษาหารือร่วมกัน
๔. ภาษาระดับไม่เป็นทางการ ภาษาระดับนี้มักใช้ในการสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคลไม่เกิน ๔-๕ คนในสถานที่และกาละที่ไม่ใช่ส่วนตัว อาจจะเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกัน การเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน การรายงานข่าวและการเสนอบทความในหนังสือพิมพ์ โดยทั่วไปจะใช้ถ้อยคำสำนวนที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยกันมากกว่าภาษาระดับทางการหรือภาษาที่ใช้กันเฉพาะกลุ่ม เนื้อหาเป็นเรื่องทั่วๆไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆรวมถึงการปรึกษาหารือหรือร่วมกัน
๕. ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับนี้มักใช้กันในครอบครัวหรือระหว่างเพื่อนสนิท สถานที่ใช้มักเป็นพื้นที่ส่วนตัว เนื้อหาของสารไม่มีขอบเขตจำกัด มักใช้ในการพูดจากัน ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรยกเว้นนวนิยายหรือเรื่องสั้นบางตอนที่ต้องการความเป็นจริง (การแบ่งภาษาดังที่กล่าวมาแล้วมิได้หมายความว่าแบ่งกันอย่างเด็ดขาด ภาษาระดับหนึ่งอาจเหลื่อมล้ำกับอีกระดับหนึ่งก็ได้)
ข้อควรสังเกตเกี่ยวกับความลดหลั่นตามระดับภาษา
๑. ภาษาที่ใช้ในระดับพิธีการ ระดับทางการและระดับกึ่งทางการ คำสรรพนามที่ใช้แทนตนเอง(สรรพนามบุรุษที่ ๑) มักใช้ กระผม ผม ดิฉัน ข้าพเจ้า คำสรรพนามที่ใช้แทนผู้รับสาร(สรรพนามบุรุษที่ ๒) มักจะใช้ ท่าน ท่านทั้งหลาย ส่วนภาษาระดับที่ไม่เป็นทางการและระดับกันเอง ผู้ส่งสารจะใช้สรรพนาม ผม ฉัน ดิฉัน กัน เรา หนู ฯลฯ หรืออาจใช้คำนามแทน เช่น นิด ครู หมอ แม่ พ่อ พี่ ป้า ฯลฯ
๒. คำนาม คำนามหลายคำเราใช้เฉพาะในภาษาระดับกึ่งทางการ ระดับไม่เป็นทางการและระดับกันเองเท่านั้น หากนำไปใช้เป็นภาษาระดับทางการจะต่างกันออกไป เช่น โรงจำนำ>สถานธนานุเคราะห์ โรงพัก>สถานีตำรวจ หมู>สุกร ควาย>กระบือ รถเมล์>รถประจำทาง หมา>สุนัข เป็นต้น
๓. คำกริยา คำกริยาที่แสดงระดับภาษาต่างๆอย่างเห็นได้ชัด เช่น ตาย อาจใช้ ถึงแก่กรรม เสีย ล้ม กิน อาจใช้ รับประทาน บริโภค
๔. คำวิเศษณ์ บางคำใช้คำขยายกริยา มักใช้ในระดับภาษาไม่เป็นทางการและระดับกันเองหรืออาจใช้ในภาระดับกึ่งราชการก็ได้ คำวิเศษณ์เหล่านี้มักเป็นมักเป็นคำบอกลักษณะหรือแสดงความรู้สึก เช่น เปรี้ยวจี๊ด เย็นเจี๊ยบ วิ่งเต็มเหยียด ฟาดเต็มเหนี่ยว เยอะแยะ ภาษาระดับทางการขึ้นมีใช้บ้าง เช่น เป็นอันมาก มาก
สรุป
ภาษาแบ่งออกเป็น ๕ ระดับ ได้แก่ ระดับพิธีการ ระดับทางการ ระดับกึ่งทางการ ระดับไม่เป็นทางการ และระดับกันเอง ซึ่งแต่ละระดับจะมีหลักการใช้ที่แตกต่างกัน และใช้ให้เหมาะสมในแต่ละโอกาศต่างๆ
อ้างอิงแหล่งข้อมูล ที่มา :http://www.matichon.co.th
ที่มา:http://www.maceducation.com
ที่มา: http://rppiyachan.wordpress.com/
ทักษะและเทคนิคการใช้ภาษา และลีลาในการสอน
การใช้ภาษา
ความหมายและขอบเขตของการใช้ภาษา
การใช้ภาษา หมายถึง การติดต่อสื่อความหมายในสังคมให้เป็นที่เข้าใจกันด้วยการฟังผู้อื่นพูดบ้าง ให้ผู้อื่นฟังบ้าง อ่านสิ่งที่ผู้อื่นเขียน และเขียนบางสิ่งบางอย่างให้ผู้อื่นอ่านบ้าง นอกจากจะติดต่อกับบุคคลในสมัยเดียวกันแล้ว อาจติดต่อกับคนในอดีตหรืออนาคตได้ การติดต่อกับคนในอดีตคือ อ่านข้อความหรือเรื่องราวที่มีผู้เขียนไว้ในหนังสือ เอกสาร หลักฐานในสมัยต่าง ๆ ก็ทำให้มีโอกาสได้รับทราบ เข้าใจในความคิดของบุคคลนั้น ๆ แม้ว่าเขาจะล่วงลับไปแล้วก็ตาม ส่วนการติดต่อกับบุคคลในอนาคตนั้น คือ ติดต่อด้วยการเขียนหนังสือไว้ให้ชนรุ่นหลังอ่าน หรือบันทึกเสียงพูดไว้ให้ชนรุ่นหลังฟัง
ทักษะและเทคนิคการใช้ภาษา และลีลาในการสอน
วัฒนธรรมในการใช้ภาษา
๑. การใช้ภาษาให้ถูกวัฒนธรรม เมื่อได้มีการให้ความหมายของคำวัฒนธรรมไว้ว่า "คือ ลักษณะที่แสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชนในชาติ และศีลธรรมอันดีของประชาชน" การใช้ภาษาให้ถูกหลักวัฒนธรรมน่าจะเป็นไปในความสอดคลัองกับความหมายดังกล่าว พระยาอนุมานราชธน ให้ข้อคิดไว้ว่า "การใช้ภาษาไม่ถูกตามแบบแผนของภาษาไทยหรือพูดจาสามหาวนั้น เป็นการผิดวัฒนธรรม" การใช้ภาษาให้ถูกวัฒนธรรมจึงน่าจะมีลักษณะดังนี้
๑. ใช้ถูกตามแบบแผนของภาษาไทย
๒. ใช้คำสุภาพ หลีกเลี่ยงคำหยาบคาย หรือหยาบโลน
๓. ใช้คำพูดที่สื่อความหมายแจ่มแจ้ง ไม่กำกวม
๔. ใช้ภาษาที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจดีระหว่างกัน ก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในหมู่คณะ
๕. ใช้ภาษาที่เป็นสิริมงคล ในพิธีการต่าง ๆ
๖. ใช้ภาษาที่ไพเราะ ชวนให้เพลิดเพลินเจริญใจ
๗. ใช้ภาษาที่เป็นคติเตือนใจ
๘. ใช้ภาษาให้ถูกกาลเทศะ และเหมาะกับฐานะของบุคคล
๒. วัฒนธรรมที่แทรกหรือสัมพันธ์อยู่กับการใช้ภาษา การใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน เห็นได้ว่ามีเรื่องของวัฒนธรรมแทรกอยู่ด้วยเสมอ เช่น เมื่อมีการกล่าวถึงสิ่งต่อไปนี้
คติธรรม สำนวน ภาษิต สุภาษิต ทัั้งในร้อยแก้ว ร้อยกรอง ในภาษาพูดและภาษาเขียน
ความเชื่อต่าง ๆ ของชาวบ้านที่แทรกอยู่ในนิทาน เรื่องเล่า
ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติอยู่ในท้องถิ่นต่าง ๆ
โบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่เป็นหลักฐานทางวัฒนธรรม
ศิลปหัตถกรรม แต่ละยุคแต่ละสมัย
เพลงพื้นเมือง นิทาน การละเล่น คำทายต่าง ๆ ที่รวมเรียกว่า คติชาวบ้าน หรือคติชนวิทยา
จุดมุ่งหมายในการใช้ภาษาตามแนววัฒนธรรม
๑. เพื่อสื่อสาร
๒. เพื่อสั่งสอน
๓. เพื่อสร้างสรรค์
หลักทั่วไปในการสอน
เกี่ยวกับเนื้อหา หรือเรื่องที่สอน
สอนจากสิ่งที่รู้เห็นเข้าใจง่าย หรือรู้เห็นเข้าใจอยู่แล้ว ไปหาสิ่งที่เห็นเข้าใจได้ยาก หรือยังไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจ
สอนเนื้อเรื่องที่ค่อยลุ่มลึก ยากลงไปตามลำดับขั้น และความต่อเนื่องกันเป็นสายลงไป อย่างที่เรียกว่า สอนเป็นอนุบุพพิกถา..
ถ้าสิ่งที่สอนเป็นสิ่งที่แสดงได้ ก็สอนด้วยของจริง ให้ผู้เรียน ได้ดู ได้เห็น ได้ฟังเอง อย่างที่เรียกว่าประสบการณ์ตรง
สอนตรงเนื้อหา ตรงเรื่อง คุมอยู่ในเรื่อง มีจุด ไม่วกวน ไม่ไขว้เขว ไม่ออกนอกเรื่องโดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องในเนื้อหา
สอนมีเหตุผล ตรองตามเห็นจริงได้ อย่างที่เรียกว่า สนิทานํ
สอนเท่าที่จำเป็นพอดี สำหรับให้เกิดความเข้าใจ ให้เการเรียนรู้ได้ผล ไม่ใช่สอนเท่าที่ตนรู้ หรือสอนแสดงภูมิว่าผู้สอนมีความรู้มาก
สอนสิ่งที่มีความหมาย ควรที่เขาจะเรียนรู้ และเข้าใจ เป็นประโยชน์แก่ตัวเขาเอง
ลีลาการสอน
คุณลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลีลาในการสอน4 อย่าดังนี้
๑.อธิบายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมือจูงมือไปดูเห็นกับตา (สันทัสสนา)
๒.ชักจูงใจให้เห็นจริงด้วย ชวนให้คล้อยตามจนต้อยอมรับ และนำไปปฏิบัติ (สมาทปนา)
๓.เร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดกำลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจว่าจะทำให้สำเร็จได้ ไม่หวั่นระย่อต่อความเหนื่อยยาก ( สมุตตเตชนา)
๔.ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ และเปี่ยมด้วยความหวัง เพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่ตนจะพึงได้รับจากกาปฏิบัติ (สัมปหังสนา)
อาจผูกเป็นคำสั้นๆ ได้ว่า แจ่มแจ้ง จูงใจ หาญกล้า ร่าเริง หรือชี้ชัด เชิญชวน คึกคัก เบิกบาน
สรุป
ในการใช้ภาษา ลีลาในการสอน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของตัวผู้เรียน และเนื้อหาในบทเรียนแต่ละบท เทคนิคในการสอนจะเกิดขึ้นแก่ตัวผู้สอนเองตามสถานการณ์ และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม
อ้างอิง
https://sites.google.com/site/kaewsarphadnuk/kar-chi-phasa
ที่มา:ทศวรรษธรรมทัศน์พระธรรมปิฏก หมวดพุทธศาสตร์ ผู้แต่ง พระธรรมปิฏก สำนักพิมพ์ ธรรมสภา พ.ศ. 2542
nokyung22ny.wordpress.com/หลักการสอน/ทักษะและเทคนิคการสอนhttp://thanyarak57110295.blogspot.com/?m=2
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)